จุดโทษของเจมส์ มิลเนอร์ และลูกยิงสุดสวยของคริสเตียน เบนเตเก้ ตอบโต้ลูกขึ้นนำของอองรี ไซเวต์ ในช่วงครึ่งแรก ทำให้เจ้าบ้านผ่านเข้ารอบต่อไป
จากชัยชนะนัดนี้ รวมกับความพ่ายแพ้ของซิยงต่อรูบิน คาซาน ก่อนเกม ทำให้ลิเวอร์พูลก้าวขึ้นจ่าฝูงของกลุ่ม ก่อนเกมไปเยือนซิยงในเกมที่ 6 ของรายการนี้ และทีมสวิสต้องไม่แพ้ เพื่อเป็นจ่าฝูง
เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนแปลง 4 ตำแหน่ง จากเกมชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เอติฮัด เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้เบนเตเก้ กลับมาสู่ 11 ตัวจริง
แม้ว่าจะใช้นักเตะชุดที่แข็งแกร่ง แต่เป็นบอร์กโดซ์ที่เริ่มเกมได้อย่างไม่เกรงกลัว โดยกดดันทั้งไซม่อน มินโญเลต์ และเดยัน ลอฟเรน ตั้งแต่ต้นเกม
แต่ในขณะเดียวกัน ทีมหงส์แดงก็เล่นได้อย่างมีชีวิตชีวา และเกือบทำประตูได้ในช่วง 10 นาทีแรก แต่โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ ไม่สามารถกดประตูได้ หลังจากได้บอลจากทั้งลูคัส เลว่า และมินโญเลต์
จากนั้น ลิเวอร์พูลเกือบได้ออกนำ เมื่อเบนเตเก้ยิงเข้าไปอย่างสวยงาม หลังจากได้บอลแทงทะลุจากไอบ์ ในนาทีที่ 29 แต่กรรมการสะบัดธงให้เป็นลูกล้ำหน้าก่อน
ผู้มาเยือนตอบโต้ด้วยการขึ้นนำได้ก่อน จากจังหวะที่ค่อนข้างแปลกประหลาดในเกม
ลูกทีมของวิลลี ซาณอล ได้ฟรีคิกในกรอบ หลังจากมินโญเลต์ถูกตัดสินว่าถือบอลนานเกินไป และไซเวต์ยิงเสียบมุมเข้าไป
แต่ลิเวอร์พูลหาทางกลับมาสู่เกมได้สำเร็จ เมื่อเบนเตเก้ถูกลูโดวิช ซาเน ชนล้มลงในเขตโทษ ก่อนที่มิลเนอร์จะแปเล่นทาง ให้เซดริก คาร์ราสโซ ล้มผิดทาง ให้ลิเวอร์พูลตีเสมอ 1-1 จากจุดโทษ
เจ้าบ้านมาพลิกเกมได้ เมื่อกองหน้าหมายเลข 9 เกี่ยวบอลของเนธาเนียล ไคลน์ ได้ ก่อนที่จะยิงสวนเข้าไปก่อนหมดครึ่งแรก ให้ลิเวอร์พูลนำ 2-1
เมื่อเริ่มครึ่งหลัง เบนเตเก้ ยังเป็นหัวใจในแนวรุก แต่ยิงบอลที่ขวางกลับมาให้จากเฟอร์มิโน่ข้ามคานออกไป หลังจากการประสานงานอันยอดเยี่ยมของนักเตะชาวบราซิลรายนี้ และโจ อัลเลน
จากนั้น กองหน้ารายนี้ยังยิงบอลเข้าประตูไปได้อีกครั้ง หลังจากยิงลูกผ่านเรียดของมลเนอร์เข้าไป แต่เป็นจังหวะฟาวล์
เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง บอร์กโดซ์โถมขึ้นหน้าบุก เพื่อหวังตีเสมอ และจังหวะบอลโต้กลับอย่างรวดเร็วยังไม่สามารถต่อบอลที่สร้างโอกาสสำคัญได้ จึงยังไม่มีประตูที่ 4 เกิดขึ้นกับทีมใด แต่เป็นมินโญเลต์ที่ต้องพุ่งเซฟลูกฟรีคิก ของไซเวต์ ท้ายเกม ช่วยให้ลิเวอร์พูลคว้าสามแต้มได้สำเร็จในที่สุด