หลังบุกไปสอย เบนฟิก้า 3-1 ในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแปดทีมนัดแรกเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ก็เขยิบเข้าใกล้การคว้าสี่แชมป์ในซีซั่นนี้ไปอีกขั้น
จากผลลัพธ์ในเกมที่ สตาดิโอ ดา ลุซ ส่งผลให้มีแนวโน้มสูงว่า หงส์แดง จะเข้ารอบตัดเชือกถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จเนื่องจากพวกเขาจะกลับมาฟาดเกือกกับ เหยี่ยวลิสบอน นัดสองที่ แอนฟิลด์ สมรภูมิที่ทีมลูกหนังทุกรายล้วนหวาดผวา
ก่อนหน้านี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ พาทีมคว้าแชมป์ คาราบาวคัพ ได้แล้ว มันจึงหมายความว่าผู้จัดการทีมชาวเยอรมันต้องคุมทีมลงบู๊อีกอย่างมากที่สุด 14 นัดต่อการเหมาซิวถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก , พรีเมียร์ลีก และ เอฟเอคัพ มาอยู่ในความครอบครองแต่เพียงผู้เดียว
ต่อความสำเร็จอันแสนยิ่งใหญ่ดังกล่าว แมนฯ ยูไนเต็ด เคยคว้าทริปเปิ้ลแชมป์มาแล้วในซีซั่น 1998/99 ซึ่งพวกเขาได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก , เอฟเอคัพ และ แชมเปี้ยนส์ลีก มาประดับบารมี
ขณะเดียวกัน แมนฯ ซิตี้ ของกุนซือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็เคยได้แชมป์สามรายการมาก่อนในซีซั่น 2018/19 หากแต่มีศักดิ์ศรีด้อยกว่า ผีแดง ทีมร่วมเมืองเนื่องจาก เรือใบสีฟ้า ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก , เอฟเอคัพ และ คาราบาวคัพ แต่ไม่ได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ลีก เนื่องจากตกรอบแปดทีมโดยพ่ายให้กับ สเปอร์ส ทีมร่วมลีกด้วยกฏอะเวย์โกลจากสกอร์รวม 4-4
อันที่จริง นายใหญ่สแปนิชพา แมนฯ ซิตี้ ได้แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ในซีซั่นเดียวกันนี้ด้วย แต่มันไม่ใช่ถ้วยเมเจอร์จึงไม่นับว่าเป็นการคว้าแชมป์สี่รายการแต่อย่างใด
ต่อโอกาสซิวสี่แชมป์ของ ลิเวอร์พูล คล็อปป์ พยายามลดความคาดหวังจากสาวก เดอะ ค็อป ด้วยการให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า "ไม่เลย มันไม่ใช่เป้าหมายที่มีความเป็นจริง และมันไม่เคยเป็นเป้าหมายของเรา คุณไม่อาจวางแผนแบบนี้ได้ และโปรแกรมก็เป็นไปอย่างยากลำบาก"
"เราได้แชมป์รายการแรกไปแล้ว ทำไมเราจึงเป็นทีมเดียวที่สามารถได้แชมป์สี่รายการ แมนฯ ซิตี้ น่าจะเป็นตัวเต็งได้สามแชมป์มากกว่าด้วยซ้ำสำหรับตอนนี้"
อย่างไรก็ดี แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล มีโอกาสเผชิญหน้ากันอีกสามนัดในช่วงที่เหลือของซีซั่นหากว่าพวกเขาจะเข้ารอบชิงชนะเลิศถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ทั้งคู่
- คาราบาวคัพ
จากการลงสนามหกนัด ในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็ได้แชมป์ใบแรกของซีซั่นไปเชยชม
ยอดทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์บุกไปขยี้ นอริช 3-0 ตามด้วยการออกไปพิชิต เปรสตัน 2-0 และชนะการดวลลูกโทษต่อ เลสเตอร์ ที่ แอนฟิลด์ หลังเสมอกับ จิ้งจอกสยาม 3-3
จากนั้นในรอบตัดเชือกสองเกมกับ อาร์เซน่อล ลิเวอร์พูล เฝ้าบ้านเสมอกับ เดอะ กันเนอร์ส 0-0 ในเกมแรกแล้วบุกไปขย้ำทีมเมืองกรุง 2-0
สุดท้ายแล้ว ลิเวอร์พูล ได้เฮที่ เวมบลีย์ โดยดวลลูกโทษแบบมาราธอนเอาชนะ เชลซี หลังจากต่างก็คลำเป้ากันไม่ได้ในเวลา 120 นาที ครองความเป็นเจ้าพ่อถ้วยลีกคัพเหนือทุกสโมสรในประเทศจากการคว้าแชมป์ใบนี้ไปเป็นกรรมสิทธิ์มากถึงเก้าครั้งแล้ว
- พรีเมียร์ลีก
ถึงขณะนี้ ลิเวอร์พูล ไล่จี้ แมนฯ ซิตี้ เหลือแค่แต้มเดียวเท่านั้นหลังลงสนามในจำนวนเกมที่เท่ากันแล้ว
และที่สำคัญ คู่นี้จะปะทะกันที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ในวันอาทิตย์นี้ด้วยซึ่งมีสิทธิ์เป็นเกมตัดสินแชมป์ได้ไม่น้อย ไม่ว่าทีมไหนจะเป็นฝ่ายกำชัยได้ก็ตาม
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนม.ค.หงส์แดง ไม่มีวี่แววว่าจะได้ลุ้นคว้าแชมป์เลยแม้แต่น้อยเนื่องจากมีแต้มตามหลัง เรือใบสีฟ้า แบบไม่เห็นฝุ่น 14 แต้ม
แต่แล้ว คล็อปป์ และลูกทีมสำแดงฝีมือลงบู๊ 11 นัดโดยไม่แพ้เลย และสามารถคว้าชัยได้มากถึง 10 นัดโดย 10 นัดหลังเป็นการเก็บคลีนชีตได้มากถึง 8 นัด
สุดท้ายแล้ว ทีมไหนที่จะได้แชมป์มันก็ขึ้นอยู่กับอีก 8 นัดสุดท้ายของทั้งคู่โดยในส่วนของ ลิเวอร์พูล พวกเขามีคิวลงเล่นในช่วงโค้งสุดท้ายดังนี้
1.แมนฯ ซิตี้ - ลิเวอร์พูล
2.ลิเวอร์พูล - แมนฯ ยูไนเต็ด
3.ลิเวอร์พูล - เอฟเวอร์ตัน
4.นิวคาสเซิ่ล - ลิเวอร์พูล
5.ลิเวอร์พูล - สเปอร์ส
6.แอสตัน วิลล่า - ลิเวอร์พูล
7. เซาธ์แฮมป์ตัน - ลิเวอร์พูล
8.ลิเวอร์พูล - วูล์ฟส์
- แชมเปี้ยนส์ลีก
ลิเวอร์พูล ประกาศศักดาในถ้วยใบนี้ได้อย่างน่าเกรงขามตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มแล้ว
แม้จะมีทีมระดับหัวแถวอย่าง แอตเลติโก มาดริด , ปอร์โต้ และ เอซี มิลาน เป็นคู่แข่งร่วมกลุ่ม ลิเวอร์พูล ก็ผ่านเข้ารอบได้แบบง่ายดายเกินคาดโดยกำชัยได้แบบร้อยเปอร์เซนต์ทั้งหกนัด และยิงได้ 17 ประตู เสียไป 6 ประตู
ขยับมาในรอบ 16 ทีม ลิเวอร์พูล ผ่านด่านทีมจาก เซเรียอา อีกรายได้เช่นกันโดยบุกไปชนะ อินเตอร์ มิลาน 2-0 แม้จะเสียสถิติแพ้ งูใหญ่ ในบ้าน 1-0 ก็ตาม
กระทั่งในรอบแปดทีมนัดแรก เร้ด แมชีน ยังโชว์ความร้อนแรงออกไปสยบ เบนฟิก้า 3-1 รอลงเล่นนัดสองในรังตัวเองกลางสัปดาห์หน้า
ขณะเดียวกัน แมนฯ ซิตี้ ก็ชนะเกมแรกของรอบแปดทีมไปแล้วโดยเฉือนทีมตราหมี คู่ปรับเก่าของ ลิเวอร์พูล ไปแบบเฉียดฉิว 1-0 โอกาสเข้ารอบต่อไปยังไม่น่าไว้ใจเท่ากับสโมสรจากเมอร์ซีย์ไซด์
อย่างไรก็ดี ในกรณีที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พาทีมเข้ารอบตัดเชือกได้เช่นเดียวกับ คล็อปป์ ทั้งคู่ยังมีสิทธิ์ได้ดวลกันอีกหากต่างก็สามารถเอาชนะคู่แข่งในรอบตัดเชือกได้สำเร็จโดย หงส์แดง ถูกวางให้พบกับผู้ชนะระหว่าง บาเยิร์น มิวนิค กับ บียาร์เรอัล ขณะที่ เรือใบ จะต้องต่อกรกับทีมชนะระหว่าง เชลซี คู่ปรับเก่าในนัดชิงดำปีก่อนกับ เรอัล มาดริด
- เอฟเอคัพ
ฟุตบอลถ้วยน็อคเอาท์ รายการที่เก่าแก่ที่สุดในโลกผ่านมาถึงรอบตัดเชือกแล้วโดย ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ ถูกจับสลากให้ฟาดเกือกกัน
เป็นอีกรายการที่ ลิเวอร์พูล สามารถนำโทรฟี่มาประดับตู้โชว์ได้หากพวกเขาสามารถสร้างผลงานไร้พ่ายได้ตลอดทั้งหกเกมเช่นเดียวกับศึก คาราบาวคัพ
หงส์แดง เปิดตัวรอบสามด้วยการเฝ้าบ้านถล่ม ชรูว์สบิวรี่ 4-1 และอัด คาร์ดิฟฟ์ 3-1 ใน แอนฟิลด์ ก่อนลงเล่นในบ้านเชือด นอริช 2-1
จากนั้นในรอบแปดทีม คล็อปป์ ก็พาทีมบุกไปคว่ำ ฟอเรสต์ 1-0 และรอเล่นรอบรองชนะเลิศกับ แมนฯ ซิตี้ ในวันที่ 16 เม.ย.
และหากเขี่ย เรือใบสีฟ้า ให้พ้นทางไปได้ ลิเวอร์พูล ก็จะเล่นนัดชิงชนะเลิศที่ เวมบลีย์ รอบู๊กับทีมชนะระหว่าง เชลซี กับ คริสตัล พาเลซ ในวันที่ 14 พ.ค.